บทความ เรื่อง : ร้องหมอชุ่ยทำทารก 4 วันตาย ซ้ำปล่อยแม่บอบช้ำมดลูกพรุน
   


บทความเลขที่ 165
คนสร้างบทความ :
นายหิว
วันที่ตั้งบทความ :
2004-03-02
คะแนนบทความ :
1094(เฉพาะเดือนนี้ )
จำนวนคนอ่าน :
4528(เฉพาะเดือนนี้ )
   


ร้องหมอชุ่ยทำทารก 4 วันตาย ซ้ำปล่อยแม่บอบช้ำมดลูกพรุน

------------------------------------------------------------------------------------------------
ร้องหมอชุ่ยทำทารก 4 วันตาย ซ้ำปล่อยแม่บอบช้ำมดลูกพรุน


ร้อง “สุดารัตน์” หมอ ร.พ.ชื่อดังย่านนนทบุรีสุดชุ่ย ทำเด็กตายหลังคลอดได้เพียง 4 วัน สุดพิลึกปล่อยคนไข้อุ้มท้องถึง 10 เดือนโดยไม่เตือนว่ารกเสื่อม แม่สุดบอบช้ำตระเวนทำกิฟต์ถึง 5 ปี แถม รพ.ยังทิ้งแผลลึกไว้ในมดลูกขนาด หมอสูติเอาไม่อยู่ต้องพึ่งศัลยกรรมเจาะผ่าแก้ไขจนมดลูกพรุน อาจหมดสิทธิมีลูกอีกตลอดชีวิต ผู้ป่วยยันจะฟ้องร้องให้ถึงที่สุด

ไข่โตช้า จึงปรึกษากับสามีว่าจะทำกิฟต์ประกอบกับมารดาต้องการหลานชายเป็นหลานคนแรกจึงความสุขที่สุดของพ่อแม่มือใหม่คือการได้เห็นลูกของตัวเองคลอดออกมาอย่างปลอดภัย แต่มีจำนวนไม่น้อยที่พ่อแม่ต้องหัวใจสลายเพราะลูกต้องจากไปก่อนวัยอันควรในระหว่างการคลอด บางส่วนเกิดจากภาวะสุดวิสัย บางรายเกิดจากน้ำมือหมอที่ประมาทเลินเล่อ

ท้องได้ 8 เดือนย้ายมา รพ.เอกชน หวังบริการดีกว่าของรัฐ

สุนันท์ ชีววิญญู อายุ 28 ปี ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องสูญเสียลูกหลังจากคลอดได้เพียง 4 วัน เด็กชายอ้วนจ้ำม่ำนอนนิ่งไม่มีลมหายใจไม่มีลักษณะของเด็กไม่สมบูรณ์แม้แต่น้อย สุนันท์ เล่าว่า หลังแต่งงานกับแฟนก็ตัดสินใจจะมีลูกทันทีเมื่อไปพบแพทย์ ๆ บอกว่ามีลูกยากเนื่องจากไปปรึกษาหมอมาหลายโรงพยาบาลก็ไม่สำเร็จกระทั่งมาพบคุณหมอที่คลินิกแห่งหนึ่งใน จ.นครปฐมและทำกิฟต์เป็นผลสำเร็จตั้งท้องซึ่งระหว่างนี้คุณหมอก็ดูแลแนะนำตลอดว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร

สุนันท์ เล่าต่อว่า หลังจากตั้งท้องได้ประมาณ 8 เดือน ก็ตัดสินใจย้ายโรงพยาบาลเข้ามาที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่งเนื่องจากคิดว่าน่าจะมีความสะดวกสบายมากกว่ารพ.ของรัฐที่คนมารอคิวมาก ดังนั้นจึงย้ายมาฝากท้องที่รพ.แห่งหนึ่งย่าน จ.นนทบุรี และยืนยันมีสมุดสุขภาพยืนยันว่าเป็นคนแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวลูกในท้องก็แข็งแรงด้วย แต่สิ่งที่ตัวเองได้รับจากรพ.แห่งใหม่มันกลับเป็นในทางตรงกันข้าม เมื่อ รพ.ที่คิดว่าดีเพราะดูจากมาตรฐาน HA ที่ได้ กับสาขาที่เปิดต่อเนื่องกันถึง 6 สาขาน่าจะเป็นหลักประกันได้อย่างหนึ่ง

หมอปล่อยอุ้มท้อง 10 เดือน แถมไม่เตือนผลข้างเคียง

“หมอปล่อยให้ดิฉันอุ้มท้องถึง 42 สัปดาห์ซึ่งเท่ากับ 10 เดือนซึ่งโดยปกติแล้วน่าจะไม่เกิน 40 สัปดาห์ นอกจากนี้หมอยังไม่เคยเตือนว่าผลข้างเคียงคือจะทำให้รกเสื่อมซึ่งหมายถึงเด็กทารกใช้รกในการหายใจกับกินอาหารไม่ได้แล้วจึงทำให้เด็กถ่ายขี้เทาออกมาและเด็กก็สูดเข้าไปในปอดเป็นเหตุให้ปอดเด็กอักเสบและฉีกจนทำให้เสียชีวิตในที่สุด” สุนันท์ เล่า


(ภาพประกอบข่าว) สุนันท์ เล่าถึงนาทีที่ต้องรู้ว่าอาจต้องสูญเสียลูกว่า วันนั้นตรงกับวันที่ 7 มกราคม 2547 ขณะที่เดินทางมาผ่าคลอดที่รพ.ตั้งแต่ 7.00 น. นอนเจ็บท้องคลอดอยู่จนถึง 10.00 น. จึงได้ถามพยาบาลว่าไม่มีหมอเวรหรือ พยาบาลบอกว่ามีแต่ก็ไม่ไปตามมาให้ ทั้ง ๆ ที่มีคนไข้นอนเจ็บอยู่ 4-5 คนร้องเรียกถามหาแต่หมอมีอยู่รายต้องแท้งลูกนอนร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแต่ก็ไม่มีใครสนใจ

เจ็บท้องรอหมอกว่า 5 ชั่วโมง ลูกคลอดออกมาอาการโคม่า

คุณแม่ที่ต้องสูญเสียลูก เล่าต่อว่า กระทั่ง 11.00 น. หมอจึงมาตรวจดูอาการเป็นคนแรกและคำแรกที่ได้ยินคือหมอบอกว่ารกเสื่อมมาประมาณ 6 ชั่วโมงแล้ว เด็กอาจจะเสียชีวิต ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนถูกเหล็กทิ่ม และมาคิดดูว่าถ้าหมอมาตั้งแต่ตอน 7.00 น. ลูกของตัวก็ไม่มีภาวะเสี่ยง เครื่องมือที่ใช้อย่างเครื่องวัดหัวใจเด็กก็ต้องแบ่งกันใช้ถึง 6 เตียง

เมื่อหมอดูอาการแล้วก็รีบเข็นสุนันท์เข้าไปผ่าตัดระหว่างนั้นได้ยินพยาบาลพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า หมอแล้วมดลูกล่ะ ซึ่งเราไม่รู้เลยว่ามันหมายถึงอะไร จนกระทั่งเด็กคลอดออกมาเขาก็ร้องแต่เบามากเราก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ หมอมาแจ้งว่าเด็กน้ำหนัก 3.5 กิโลกรัมจากนั้นเอาไปดูอาการปรากฎว่าเด็กโคม่าโดยที่หมอไม่บอกเลยว่าไม่มีเครื่องมือที่จะช่วยเหลือเด็ก ณ เวลานั้น ส่วนตัวเองหลังคลอดมีอาการหนาวสั่นขอผ้าห่มไฟฟ้าเขาก็ไม่มีต้องนอนทรมานอยู่อีกเป็นชั่วโมง

สุนันท์ เล่ามาถึงตรงนี้ถึงกับน้ำตาคลอ ก่อนจะเล่าต่อว่า เวลานั้นคิดอย่างเดียวลูกต้องรอดเสียเงินเท่าไรก็ยอมจึงสอบถามไปทางโรงพยาบาลต่าง ๆ ว่าที่ไหนมี ไอ ซี ยู เด็กบ้างปรากฎว่ามีที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ซึ่งเขาแจ้งว่าต้องจ่าย 500,000 บาท เราไม่คิดมากทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกเลยตอบตกลงและย้ายเด็กไปทันที ซึ่งเขาอยู่ที่โรงพยาบาลได้เพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้นก็เสียชีวิต ตอนนั้นพยายามทำใจว่าเขาคงไม่ใช่ลูกเรา

หมอให้กลับบ้านได้ 2 วัน เกิดเลือดคั่งในช่องท้อง

“หลังจากนอนรักษาตัวอยู่ที่รพ.เดิมอยู่จนถึงวันที่ 10 มกราคมก็ต้องจ่ายค่ารักษาไปทั้งหมด 37,000 บาท และแพทย์บอกให้กลับบ้านได้ ตอนนั้นไม่อยากมองหน้าหมอที่เป็นต้นเหตุให้ลูกตายจึงคิดจะกลับทั้งที่ร่างกายไม่แข็งแรง ยังแปลกใจเงินเราก็มีทำไมไม่ดูแลให้หายดี แต่สิ่งที่กังวลคือมดลูกเพราะเชื่อว่าน่าจะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่นอน จึงได้ย้ายไปที่รพ.ไทยนครินทร์ ย่านบางนา เพื่อตรวจดูแต่ไม่พบอะไรจึงกลับบ้าน พักได้เพียง 2 วันมีเลือดไหลออกจากช่องท้องไม่หยุดหมอจึงเร่งให้มา รพ.ด่วนเพื่ออัลตราซาวน์ปรากฎว่าพบเลือดคั่งอยู่ในมดลูกประมาณ 1 ชามใหญ่ ๆ จึงได้เจาะออกมา”

ลำพังการคลอดลูกก็เจ็บปวดมากพอแล้ว แถมยังมีโรคอื่นๆ ที่ตามมาจนทำให้มีลูกไม่ได้อีก (ภาพประกอบข่าว) สุนันท์ เล่าว่า หลังจากนั้นก็ได้รักษาตัวต่อเป็นเวลา 8 วัน หมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อ ยาบีบมดลูกให้เลือดไหลออกมาให้หมด จากนั้นก็ออกจากรพ.มาพักที่บ้านอีกอยู่ได้ 2 วัน ปวดท้องมากจึงรีบไปรพ.อีกรอบหมอให้ยาแก้ปวดเพื่อรอผลดูว่ามีการติดเชื้อจากส่วนไหน ซึ่งพบว่าเป็นเพราะน้ำคาวปลาคั่งอยู่จึงได้นอนรอให้น้ำคาวปลาไหลออกมาอีก 7-8 วัน เท่านั้นยังไม่พอยังพบก้อนแข็ง ๆ ที่ท้องอีกหมอเองยังงงว่ามดลูกน่าจะเข้าอู่แล้วทำไมจึงยังเป็นปัญหา สุดที่สูตินรีแพทย์จะวินิจฉัยจึงต้องพึ่งหมอศัลยกรรมซึ่งได้ชี้ว่า เป็นถุงหนองใต้ผนังจึงได้ทำการผ่าตัดอีกครั้งทั้งที่แผลเดิมยังไม่หายดี คราวนี้เจาะเป็นรูกว่าประมาณ 2 เซ็นติเมตรเพื่อเอาหนองออกแต่จู่ ๆ เลือดก็พุ่งออกมาด้วย จากนั้นได้นอนพักรักษาตัวอีก 10 วัน ตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้นจึงมาร้องที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอความเป็นธรรมและอยากให้เป็นคนสุดท้ายที่ต้องตกเป็นเหยื่อรพ.ชุ่ย

พ้อโรงพยาบาลก็ดี ได้มาตรฐาน HA แต่...

“ดิฉันไม่เข้าใจว่าโรงพยาบาลนี้ได้มาตรฐานรับรองคุณภาพมาได้อย่างไร ที่เราทราบเพราะวันที่เรานอนอยู่โรงพยาบาลต้องการทราบเหตุผลจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลว่าทำไมหมอถึงไม่ใส่ใจเรากระทั่งลูกต้องเสีย เจ้าหน้าที่ที่รับสายบอกกับเราว่า ผอ.ไม่อยู่กำลังไปฉลอง HA กันอยู่ และขณะนี้หลังจากที่เปิดสาขาได้ 6 สาขาแล้วเขาก็กำลังจะเปิดอีก 1 สาขา ในกรุงเทพฯ อีก ทั้งที่สาขาอื่นเขายังทำไม่ดี หากการฟ้องร้องสำเร็จผลออกมาว่าโรงพยาบาลผิดถูกปรับ 10 ล้านก็ขอเอาเงินก้อนนั้นเข้ากระทรวงสาธารณสุขเพื่อพัฒนาโรงพยาบาลอื่น ๆ ไม่ให้เลวร้ายเหมือนเช่นนี้” สุนันท์เล่าด้วยความเจ็บช้ำ พร้อมกับระบุว่าคนไข้ 30 บาทเขาคลอดกันก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรทั้งที่คนบอกว่า 30 บาทเป็นพวกประชาชนชั้นสอง

สุนันท์ เล่าอีกด้วยว่า หลังจากนั้นตนได้ทำเรื่องของประวัติจากรพ.ที่ทำให้ลูกเสียชีวิต ปรากฎว่าเขาไม่ให้ เราจึงไปขอที่ไทยนครินทร์เขาพร้อมที่จะให้เรา ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมรพ.ทำคลอดถึงต้องปิดบังมีอะไรหรือเปล่า เขาจะแก้เอกสารอะไรของเราไหม เพราะหลังจากที่ตนได้ประวัติจากไทยนครินทร์แล้วก็ถือไปพบผอ.รพ.ที่ทำคลอดว่าหมอได้ทำอะไรเพื่อเป็นการแก้ไขบ้าง เขายังไม่ทันได้อ่านอะไรก็บอกหมอไม่ผิด ข้อนี้ก็ไม่ใช่ ข้อนั้นก็ไม่ได้ทำ เราก็ถามเขาว่าแล้วทำไมไม่มีหมอเวร เขาก็อุปโลกน์คุณหมอมาคนหนึ่งบอกว่าวันนั้นมีหมอเวรดูแลคนไข้อยู่ตลอด พอเราเห็นหน้ายืนยันได้เลยว่าหมอคนนี้ไม่เคยมาดู ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่กังวลว่าเขาอาจจะแก้เอกสารของเรา และทำให้เรากลายเป็นผู้ถูกร้องในเวลาต่อมาได้

ตัดสินใจฟ้องให้ถึงที่สุด หาก รพ.ผิดจริง พร้อมนำเงินชดเชยมอบให้คนที่เดือดร้อนแบบเดียวกัน

ดังนั้นสุนันท์จึงตัดสินใจจ้างทนายเพื่อฟ้องร้องโรงพยาบาลแห่งนั้นแต่ทนายบอกว่าฟ้องไม่ได้ต้องแจ้งไปยังแพทยสภาก่อนเมื่อผลออกมาแล้วจึงจะฟ้องได้ ตนและสามีจึงได้เดินทางมาแพทยสภาและกองประกอบโรคศิลปะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเขาได้แจ้งว่าต้องรอรวบรวมเอกสารถึง 6 เดือน ขณะนี้เวลาผ่านมา 3 เดือนจากการรักษาตัว หากรออีกก็รวมเป็น 9 เดือน อายุความมีเพียงปีเดียวฟ้องร้องก็ไม่ได้ในที่สุดเราก็คงทำอะไรเขาไม่ได้เลย จึงตัดสินใจขอความเป็นธรรมจากรมว.สาธารณสุขเพื่อให้ติดตามเรื่องนี้ในฐานะที่เป็นแม่เหมือนกัน

“ลูกผู้หญิงต้องเจ็บช้ำทุกอย่างอุ้มท้อง 9 เดือนแพ้ท้องก็มาก คลอดลูกก็หวังจะเชยชมกลับต้องมาเสียเขาไปทั้งที่ไม่ควรจะเป็น” สุนันท์มองภาพลูกน้อยไร้ลมหายและถึงกับร้องไห้โฮออกมา

สุนันท์ ยืนยันจะเอาเรื่องจึงถึงที่สุด พร้อมกับระบุว่า จะเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการให้มาตรฐาน
HA ว่ามีหลักการอย่างไร เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องกับตัวเองก็ได้ทราบว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ทำคนตายทั้งที่ไม่น่าจะตายมาหลายคนแล้ว และเขาก็พร้อมที่จะมาเปิดเผยข้อมูล ซึ่งตัวเองจะรอจนกว่าผลจะออกมาว่าถ้าโรงพยาบาลที่ทำคลอดบอกว่าเขาไม่ผิดแล้วใครกันแน่ที่ผิด

สำหรับสุนันท์ ปัจจุบันอายุ 28 ปี พื้นเพเป็นคน จ.ราชบุรี หลังจากแต่งงานได้ย้ายมาอยู่บ้านเลขที่ 94/6 ม. 3 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี สำหรับการมาครั้งนี้บรรดาญาติและคนรู้จักใกล้ชิดสุนันท์ประมาณ 80 คนได้ร่วมถือป้ายผ้าขอความเป็นธรรมด้วย โดยมีนายวิจักร อากัปกริยา หัวหน้าสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับเรื่อง

น.พ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ ผู้อำนวยการกองการประกอบโรคศิลปะ กล่าวว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย คงต้องรอเวลาอีกประมาณ 3 สัปดาห์เพื่อนัดกรรมการแจ้งประชุมร่วมกับคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโรคซึ่งประกอบด้วยคนทุกฝ่ายไม่แต่เฉพาะแพทย์เท่านั้นจากนั้นก็จะเชิญผู้เสียหายมาให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม น.พ.ธเรศตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการไม่ยอมให้ประวัติกับผู้ป่วยทั้งที่เป็นสิทธิของผู้ป่วยที่ควรจะได้


ยังไม่มีคำวิจารณ์ สำหรับ บทความนี้

คนตั้ง  : 
อีเมล์ :
คำวิจารณ์  : 
ยืนยัน
   
วันที่ตั้งกระทู้  : 
20-04-2024


เวป หางาน ค้นหางาน ตำแหน่งงาน พนักงาน ejobonline.com