บทความ เรื่อง : “สนธิ” พร้อมสู้ถึงที่สุด มั่นใจชนะ
   


บทความเลขที่ 474
คนสร้างบทความ :
a
วันที่ตั้งบทความ :
2005-10-27
คะแนนบทความ :
1305(เฉพาะเดือนนี้ )
จำนวนคนอ่าน :
3295(เฉพาะเดือนนี้ )
   


“สนธิ” พร้อมสู้ถึงที่สุด มั่นใจชนะ

------------------------------------------------------------------------------------------------





ผู้จัดการรายวัน – “สนธิ” ชี้ประเด็นการลิดรอนสิทธิสื่อในยุครัฐบาลทักษิณ หนักข้อกว่ารัฐบาลเผด็จการรสช. ยันทำหน้าที่สื่อแค่ถามในสิ่งที่นายกฯไม่เคยตอบ และพร้อมสู้จนถึงที่สุด














สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
       นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวเกี่ยวกับประเด็นการลิดรอนสิทธิสื่อมวลชน ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) วานนี้ (26 ต.ค.) โดยเริ่มอธิบายให้สื่อมวลชนต่างประเทศถึงสาเหตุที่ลุกขึ้นมาพูดความจริงในสังคมและไม่กลัวถูกฟ้อง โดยสะท้อนให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีอารมณ์อ่อนไหวและไม่ชอบให้คนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในฐานะสื่อมวลชนก็แค่ถามคำถามที่คนในสังคมสนใจ
       
       โดยเทียบกับช่วงสมัยเผด็จการรสช. ถึงเป็นเผด็จการแต่ไม่น่ากลัวเหมือนในปัจจุบัน เพราะยุคเผด็จการเหมือนขาวดำมีเส้นแบ่งชัดเจน มีกฏเกณฑ์ชัดเจน แต่ยุคนี้ถึงเป็นประชาธิปไตยแต่แค่หน้ากาก ด้วยการครอบงำด้วยเสียงข้างมากในสภา ไม่ต้องการให้มีการซักถามกันในสภา ซึ่งไม่ยุติธรรมกับการบริหารประเทศ 365 วัน แต่ไม่ยอมให้ใครมาถามหรือมาฉุดอะไรแค่การอภิปรายในสภา 3 วัน เพื่อมาตอบคำถามประชาชน
       
       “นายกทักษิณมองการเมืองเป็นเหมือนธุรกิจ ในการกว้านซื้อพรรคการเมือง นักการเมืองเหมือนซื้อบริษัท มาควบรวมกิจการ”นายสนธิกล่าว
       
       นิติบัญญัติ และองค์กรอิสระที่ขึ้นอยู่กับวุฒิสภา แต่ก็ยังถูกครอบงำด้วยรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ดูเหมือนเกื้อกูลในการให้ใบเหลือใบแดง จะมีก็แต่ศาลเท่านั้นที่ยังไม่ถูกครอบงำ
       
       นายสนธิกล่าวว่าการที่นายกฯมาอ้างว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเป็นเรื่องขัดแย้งทางธุรกิจนั้น ไม่จริงไม่ใช่ความขัดแย้ง เพราะจำได้ว่าสมัยพล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ มีอำนาจมีการเข้าไปขอสัมปทานดาวเทียม รวมทั้งเมื่อตอนซื้อหุ้นไออีซีก็ให้หุ้นมูลค่าถึง 400 ล้านบาท ในช่วงปี2543 นายกฯ ลงเลือกตั้งมาขอความช่วยเหลือ 3-4 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง ตอนนั้นถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถามว่าจะบริหารบ้านเมืองด้วยความโปร่งใสหรือไม่ ซึ่งนายกฯ ก็ตอบว่ารวยแล้วไม่โกง แต่ตอนนี้มาเรียนรู้ภายหลังว่าไม่จริง
       
       ในช่วงที่สนับสนุนนายกฯ ปีแรกมีคดีซุกหุ้น ปีที่2 มีการโยกย้ายอย่างบ้าคลั่งแบบไม่เคยมีมาก่อน ก็เห็นว่ามาบริหารประเทศต้องการคนดีก็ให้โอกาส แต่ปีที่ 3 ในฐานะมีสัญชาตญาณของนักข่าวได้กลิ่นตุๆ และสังเกตว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวกมาก เช็กย้อนหลังไปที่นายกฯเคยพูด ตรวจสอบไป มีบางช่วงที่สนิทกับนายกฯพอสมควรในช่วงนั้น ได้ทานอาหารบ้านพิษณุโลกกับนายกฯ 3-4 ครั้ง ครั้งหนึ่งถามนายกฯว่าได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากบริษัทซีพีหรือไม่ นายกฯตอบว่าคุณธานินทร์ไม่เคยให้ตังค์สักแดงเดียว แต่เมื่อมีการตรวจสอบในฐานะนักข่าวก็รู้ว่ามันไม่จริง มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างซีพีกับนายกฯ เพราะมีบุคคลของซีพีอยู่ในคณะรัฐบาลนายกฯตลอด
       
       “ในปี 2003-2004 รู้สึกยากลำบากที่จะสนับสนุนนายกฯต่อไป มันฝืนมโนธรรมที่จะสนับสนุนนายกต่อไป จึงตัดสินใจส.ค.47 จะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์นายก หลังจากสนับสนุนมาตลอด และเมื่อ 9 ก.ย..48 เรื่องพระราชอำนาจ สถานะคุณหญิงจารุวรรณ เป็นฟางเส้นสุดท้ายในการถอนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งต้องถามเพราะมันผิด”
       
       นายสนธิกล่าวว่าบรรทัดฐานในการยกเลิกรายการก็ไม่ยุติธรรม นอกจากนี้คดีแรกที่ฟ้องตนกับนางสาวสโรชา ก็เลือกที่จะไม่ฟ้องสื่อคืออ.ส.ม.ท.แต่คดีที่สองก็ฟ้องสื่อในขณะที่ไม่ฟ้องบุคคลที่พูดคือหลวงตามหาบัว ถือเป็นการคุกคามสื่อเป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมมาข่มขู่สื่อ
       
       “นายกในฐานะบุคคลสาธารณะ สื่อมีสิทธิสอบถามการทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมเองกลับโดนกรมสรรพากรมาตรวจสอบบัญชี มีตำรวจลับมาคอยติดตาม เดินทางตปท.ตม.สร้างปัญหาไม่ให้ไปง่ายๆ หากใครบอกนายกฯเป็นผู้นำที่มีวิชัน ตอนนี้ผมไม่เชื่อ” นายสนธิกล่าวสรุปว่า “ตอนนี้ต้องสู้ ถามว่ากลัวมั้ยก็กลัว แต่ตอนนี้กลัวจนกล้าแล้วแค่ทำหน้าที่สื่อมวลชนไม่ได้กล่าวหานายกฯ แค่ถามในสิ่งที่นายกไม่เคยตอบเลย และสู้ได้จนถึงศาลฎีกา และมั่นใจว่าจะชนะ”


ยังไม่มีคำวิจารณ์ สำหรับ บทความนี้

คนตั้ง  : 
อีเมล์ :
คำวิจารณ์  : 
ยืนยัน
   
วันที่ตั้งกระทู้  : 
19-04-2024


เวป หางาน ค้นหางาน ตำแหน่งงาน พนักงาน ejobonline.com