บทความ เรื่อง : “พล.อ.กิตติศักดิ์” บุก สตช.วันนี้ จี้ถามคดี “ทักษิณ” หมิ่นพระบรมเดชาฯ
   

บทความเลขที่ 546
คนสร้างบทความ :
a
วันที่ตั้งบทความ :
2005-11-23
คะแนนบทความ :
1229(เฉพาะเดือนนี้ )
จำนวนคนอ่าน :
3846(เฉพาะเดือนนี้ )
   


“พล.อ.กิตติศักดิ์” บุก สตช.วันนี้ จี้ถามคดี “ทักษิณ” หมิ่นพระบรมเดชาฯ

------------------------------------------------------------------------------------------------









โดย ผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤศจิกายน 2548 10:22 น.

“พล.อ.กิตติศักดิ์” บุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 11.00 น.วันนี้ สอบถาม ผบ.ตร.ถึงความคืบหน้าคดี “ทักษิณ-วิษณุ” ทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตั้งข้อสังเกตตำรวจดำเนินคดีล่าช้าผิดสังเกต

วันนี้ (22 พ.ย.) พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ กรรมการที่ปรึกษากรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้นำรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้เตรียมเข้าพบผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเวลา 11.00 น. เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าของคดี เนื่องจากเห็นว่าการพิจารณาสอบสวนยังมีความล่าช้าผิดปกติ

ทั้งนี้ สาเหตุที่ พล.อ.กิตติศักดิ์ และคณะเข้าแจ้งความดำเนินคดีในครั้งนี้สืบเนื่องจากกรณี นายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานในพิธีทำบุญประเทศ ภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2548 ที่ผ่านมา ว่าเป็นการกระทำที่ไม่บังควร และเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

พล.อ.กิตติศักดิ์ ยังกล่าวว่า การชี้แจงของนายวิษณุที่ผ่านมาในเรื่องการทำบุญประเทศนั้นไม่ตรงประเด็น ไม่ได้ตอบคำถามในเรื่องการการใช้สถานที่ภายในพระอุโบสถวัดพระแก้วก่อนมีพระบรมราชานุญาต การเร่งรีบในการขอพระบรมราชานุญาตอย่างกะทันหันในวันที่ 8 เมษายน 2548 ก่อนงานเริ่มเพียง 2 วันเท่านั้นทั้งที่เป็นงานใหญ่

“ผมไม่อยากพูดในรายละเอียดในเรื่องนี้มาก อยากให้ไปพูดกันที่ศาลตามกระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างทำไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ มีหลักฐานเป็นรูปถ่ายและเอกสารชัดเจน” พล.อ.กิตติศักดิ์ ระบุ










“วิปฝ่ายค้าน” อัดรัฐกล้าเผชิญความจริง อย่าชกข้างเดียว
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤศจิกายน 2548 15:31 น.

“ปธ.วิปฝ่ายค้าน” อัดรัฐบาลอย่าเบี่ยงประเด็นการเมือง ทุ่มกำลังเล่นงาน “สนธิ” เพื่อรักษาหน้าตานายกฯ จนลืมปัญหาภาคใต้-ความยากจนไป ชี้เป็นผู้นำต้องกล้าเผชิญความจริง อย่าชกข้างเดียว ด้าน “หมอเปรม” สนับสนุน “ทักษิณ” ไปพบ “หลวงตาบัว” เพื่อยุติปัญหา


วันนี้ (22 พ.ย.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงว่า วิปฝ่ายค้านได้มีการหารือกรณีรัฐบาลใช้อำนาจไม่เป็นธรรมสั่งปิดเคเบิลทีวี และถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ รวมทั้งที่รัฐบาลเบี่ยงเบนประเด็นว่า ฝ่ายค้านโดยพรรคประชาธิปัตย์เล่นเกมนอกสภา ซึ่งวิปพิจารณาว่ารัฐบาลให้ความสำคัญและทุ่มเทประเด็นทางการเมืองมากกว่าในเรื่องอื่นๆ ที่ควรจะใช้สรรพกำลัง โดยใช้องค์กรที่เป็นหน่วยราชการหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย กรมประชาสัมพันธ์ ตำรวจ หรือทหาร รวมทั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ ฝ่ายค้านเห็นว่าควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นประเด็นรอง เพราะยังมีประเด็นใหญ่ที่ควรจะทุ่มเทสรรพกำลังลงไปในการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขปัญหาใน 3 จังหวัดภายแดนภาคใต้ การแก้ไขปัญหาในเรื่องความยากจน การที่รัฐบาลไม่ว่าจะพรรคไทยรักไทย หรือองค์กรของรัฐออกมาดำเนินการกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเอาจริงเอาจัง จะเรียกได้ว่าเป็นการดำเนินการเพื่อรักษาอำนาจและหน้าตาของนายกรัฐมนตรีไว้เท่านั้น ถือเป็นการลำดับความสำคัญที่ผิดพลาด

นายสาทิตย์ กล่าวว่า กรณีเมืองไทยรายสัปดาห์ ฝ่ายค้านยังยืนยันในหลักการที่ว่า รัฐบาลควรจะให้เสรีภาพกับสื่อสารมวลชน หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดในรายการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็สมควรที่จะดำเนินการ แต่ไม่ควรให้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมและทุ่มเทสรรพกำลังเพียงเพื่อจัดการกับคนคนเดียวที่ไปสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องของความจริงมากกว่า นอกจากนี้ ยังมีการพาดพิงถึงผู้นำฝ่ายค้านที่ไปพบกับนายสนธิว่าเป็นผู้นำฝ่ายค้านโดยพฤตินัยอยู่หรือไม่ เพราะดูเหมือนกับไปเห็นด้วยกับการดำเนินการนอกสภา

“ยืนยันว่า ฝ่ายค้านใช้กลไกของรัฐสภาในการทำงานทางการเมืองมาโดยตลอด โดยการให้ความสำคัญกับการอภิปรายทั้งกฎหมาย กระทู้สด และกระทู้ธรรมดาในทุกสัปดาห์ แต่ตัวนายกฯ ต่างหากที่ไม่ให้ความสำคัญ ซึ่งผมไม่อยากจะเรียกว่าไม่ให้เกียรติ แต่เวลานี้ท่านหลีกเลี่ยงที่จะมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ในสภาผู้แทนราษฎร จะโดยเหตุผลใดก็ตามซึ่งฝ่ายค้านมีสถิติที่ยืนยัน และเห็นได้ชัดว่านายกฯ หลีกเลี่ยงมาสภา คือในการประชุมสภาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว มีการถามกระทู้สดทั้งหมด 320 เรื่อง เป็นการถามนายกฯ 229 เรื่อง แต่นายกฯมาตอบกระทู้สดเพียง 6 ครั้ง เท่ากับ 2.6 เปอร์เซ็นต์ และมีข้อน่าสังเกตว่า ใน 6 เรื่องที่มาตอบจะเป็นเรื่องที่กระทบถึงผลประโยชน์ที่เกี่ยวเนื่องกับบุคคลในแวดวงของท่าน กับกระทบถึงพรรคไทยรักไทย รวมถึงเป็นผลกระทบทางการเมือง และจะหลีกเลี่ยงไม่มาตอบกระทู้สดที่เป็นเชิงนโยบาย ตัวอย่างที่นายกฯมาตอบกระทู้ คือกรณีเผาสถานทูตกับสถานประกอบการนักธุรกิจในกัมพูชา เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับบริษัทในแวดวงของท่านเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย” นายสาทิตย์ กล่าว

ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวอีกว่า ฝ่ายค้านยืนยันการทำหน้าที่ในสภา แต่นายกฯจะต้องกล้าเผชิญหน้าในสภามากกว่านี้ ซึ่งขณะนี้ท่านไม่เผชิญหน้า ทั้งในส่วนของสื่อสารมวลชนข้างนอก และสถานการณ์ความเป็นจริงในสภา แต่หลีกเลี่ยงที่จะไปพูดคนเดียวในรายการ “นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน” ตนไม่อยากใช้คำว่าขี้ขลาด แต่อยากเรียกร้องให้ท่านกล้าหาญมากกว่านี้ในการมาตอบคำถามในสภา

ขณะที่ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่หลวงตาบัวจะเชิญนายกรัฐมนตรี และนายสนธิ ลิ้มทองกุล มาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งว่า เห็นด้วยที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปพบหลวงตามหาบัว ที่วัดป่าบ้านตาด และเป็นทิศทางที่ดีในการสร้างความเข้าใจ ทั้งนี้ เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะเดินทางไป เพราะนายกรัฐมนตรีมีเจตนาที่ดีที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว เพียงแต่ระยะเวลาที่จะเดินทางไปก็ต้องขึ้นกับตารางเวลาที่นายกฯจะปลีกตัวได้ด้วย ขณะนี้ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดตารางเวลาให้แล้ว ส่วนนายกฯจะเลือกเดินทางไปช่วงเวลาเดียวกันกับนายสนธิหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา เพราะการไม่ได้พบกันหรือไปคนละครั้งน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะลดแรงกดดันได้

“ปัญหาทุกอย่างหากทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับฟังจะทำให้มีทิศทางดีขึ้น จิตใจดีขึ้น ใจเย็นลง อะไรๆ คงดีขึ้น และน่าจะทำให้การฟ้องร้องทางกฎหมาย มีทิศทางที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งภาวะดังกล่าวจะนำไปสู่บรรยากาศทางการเมืองภายในที่ดีขึ้น ไม่มีภาวะน้ำผึ้งหยดเดียวอย่างที่หลายฝ่ายกังวล ส่วนการแสดงความคิดเห็นของผมว่าควรคืนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง 9 ให้นายสนธิยอมรับว่าได้รับแรงกดดันในพรรคพอสมควร แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนสึนามิ เพราะได้มีการหารือกับผู้ใหญ่ในพรรคพอสมควร” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีงดรายการนายกฯ พบสื่อมวลชน น่าจะเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะปรับวิธีการให้ข่าวแบบไม่รวมศูนย์อยู่ที่นายกรัฐมนตรีเหมือนที่ผ่านมา โดยให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องนั้นๆ มีบทบาทในการให้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น เป็นการกระจายอำนาจการบริหาร ซึ่งทำให้ภารกิจทุกอย่างไม่อยู่ที่นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว และตนขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีออกมาแบ่งรับภารกิจต่างๆ ตามความรับผิดชอบของตนเอง


ยังไม่มีคำวิจารณ์ สำหรับ บทความนี้
คนตั้ง  : 
อีเมล์ :
คำวิจารณ์  : 
วันที่ตั้งกระทู้  : 
19-04-2024


เวป หางาน ค้นหางาน ตำแหน่งงาน พนักงาน ejobonline.com