บทความเลขที่
94 |
|
คนสร้างบทความ : |
นายหิว |
วันที่ตั้งบทความ : |
2004-01-18 |
คะแนนบทความ : |
1399(เฉพาะเดือนนี้ ) |
จำนวนคนอ่าน : |
3346(เฉพาะเดือนนี้ ) |
ระวังวัยรุ่นมาก กิ๊ก รักหลายใจ ต้นเหตุค่านิยมเซ็กซ์เสรี manager เป็นเพื่อนหรือเป็นแฟนก็เลือกเอา แต่ถ้าเป็น "กิ๊ก" หรือเป็น "กั๊ก" อาจจะเป็นการสร้างค่านิยม "หลายใจ" ในสังคม อ.จุฬาฯ แนะให้จับตาดูเรื่อง กิ๊ก ในหมู่วัยรุ่นอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลให้สถาบันครอบครัวอ่อนแอในระยะยาว เสนอให้ช่วยกันรณรงค์ถึงผลเสียของการมีเพศสัมพันธ์เสรีอย่างที่ตะวันตกเขาทำกัน ระบุพ่อแม่ควรพูดคุยให้ลูกรู้จักเคารพเพศตรงข้ามตั้งแต่ยังเล็ก ชี้ทางออกควรเปิดพื้นที่สื่อให้เด็กมากขึ้นแต่ต้องมาคิดเนื้อหาให้ดี หลังจากนิสิตคณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอรายงานการศึกษาเชิงวิจัยเรื่อง "กิ๊ก...มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชา "การศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชน" ต่อ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์คณะคุรุศาสตร์ จุฬาฯ โดยรายงานดังกล่าวได้นำเสนอทัศนคติและค่านิยมความรักของวัยรุ่นไทย พร้อมทั้งพยายามวิเคราะห์ว่า พฤติกรรม ็กิ๊กิ ของวัยรุ่นจะก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมหรือไม่ เรื่องนี้ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์คณะคุรุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวแสดงความเห็นไว้ในรายการ สภาท่าพระอาทิตย์ ซึ่งออกอากาศทางยูบีซี 9 และส่งกระจายเสียงทางเอฟเอ็ม 97.5 เมกะเฮิรตซ์ ว่าวัฒนธรรมของเด็กวัยรุ่นที่เริ่มจากการมี กิ๊ก จำนวนมากถือเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะจะทำให้เด็กยุคนี้มีความเคารพเพศตรงข้ามน้อยลง ขณะเดียวกันก็จะทำให้สถาบันครอบครัวมีความอ่อนแอในระยะยาว พร้อมกันนี้ ยังได้ยกตัวอย่างสังคมของสหรัฐอเมริกา ว่าจากผลสำรวจเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กอเมริกันกว่า 70 เปอร์เซ็นต์มีเพศสัมพันธ์ก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นในสหรัฐฯ ก็มีการรณรงค์ให้เด็กงดมีเพศสัมพันธ์จนกระทั่งแต่งงาน และผลสำรวจล่าสุดพบว่าจำนวนเด็กที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยลดลงเหลือ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์คณะคุรุศาสตร์ จุฬาฯ ตัวเลขดังกล่าวแปลว่าคนที่งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์จนกระทั่งแต่งงานเริ่มเยอะขึ้น เริ่มเห็นคุณค่ามากขึ้น และเขาจะชี้อันตรายเรื่องการติดเอดส์ เรื่องการติดโรคทางเพศต่างๆ รวมถึงงานวิจัยที่ชี้ว่าผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เสรีแนวโน้มจะเป็นโรคจิตซึมเศร้าก็สูงกว่าเด็กปกติ ผมคิดว่าน่าจะหยิบช่วยรณรงค์ทางสื่อในบ้านเราเหมือนกัน บางทีอาจจะทำให้ผลกระทบทางเสียจากเรื่องกิ๊กน้อยลง เหลือแต่เรื่องที่เด็กกิ๊กกันไม่มีภัย ก็ไม่เป็นไร ดร.อมรวิชช์ กล่าวอีกว่า จากการสำรวจที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เคยทำไว้ พบว่าเด็กวัยก่อนเข้ามหาวิทยาลัยของไทยที่มีเพศสัมพันธ์มาก่อน มีประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าปัจจุบันตัวเลขน่าจะสูงขึ้น เพราะความนิยมมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นปัจจุบันอยู่ในช่วงขาขึ้น และว่าเด็กวัยรุ่นในหลายประเทศที่เคยมีเพศสัมพันธ์เสรี ตอนนี้หันกลับมามีแนวคิดอนุรักษ์นิยม เพราะเขาเห็นพิษภัยที่มีต่อสถาบันครอบครัว ขณะที่เด็กไทยกำลังทำตามแบบที่เขาจะเลิกแล้ว ซึ่งถือว่าอันตรายมาก สำหรับพ่อแม่ที่ลูกเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นนั้น อาจารย์คณะคุรุศาสตร์ จุฬาฯ แนะนำว่า พ่อแม่ควรต้องเริ่มพูดเรื่องนี้กับลูกตั้งแต่ 9 ถึง 10 ขวบ เพราะเด็กยุคนี้โตเร็วขึ้นเนื่องจากสื่อที่มีมากมายทำให้ เด็กเริ่มอยากรู้ หากไปคุยตอนที่เด็กเริ่มเป็นวัยรุ่นอาจจะช้าไป ที่สำคัญคือพ่อแม่ต้องปลูกฝังให้ลูกรู้จักให้เกียรติแก่เพศตรงข้าม ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ-สุภาพสตรี ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ พ่อแม่ต้องคุยกับลูกอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะเรื่องความต้องการทางเพศซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ผมคิดว่าสิ่งที่มาในการรับรู้ของเด็กแต่ละวัน มันเข้ามาสารพัดทาง ซึ่งพวกนี้มันไปกระตุ้นความอยากรู้เรื่องนี้มากขึ้น เด็กสมัยนี้ 8-9 ขวบ ลูกชายผมเองเริ่มไปเห็นสิ่งเหล่านี้มากขึ้นและเขาเริ่มเกิดข้อสงสัย ในขณะเดียวกันเราต้องยอมรับว่าหนังมีผลกับเด็กมาก ฉากรักๆ ใคร่ๆ แทบจะเป็นของธรรมดาไป สมัยนี้หนังเรื่องไหนไม่มีฉากรักดูดดื่ม เซ็กซี่มาก ก็กลายเป็นหนังไม่ทำเงิน ดร.อมรวิชช์ยังได้กล่าวถึงเรื่องการควบคุมสื่อว่ายังมองไม่เห็นทางออก เนื่องจาก กลุ่มวัยรุ่นมีวิธีสื่อสารสารพัด รวมทั้งการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตซึ่งยังไม่สามารถควบคุมได้ และว่า ควรหาวิธีสร้างสื่อเข้าไปเจาะกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะเรื่องเพศศึกษา ที่ควรสอนให้เด็กรู้จักงดเว้นการยั่วยุทางเพศ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก บ้านเรายังไม่ค่อยพูดกันเลยนะครับ หลายประเทศเขาพยายามดึงเด็กเขากลับมาแล้ว อันนี้ผมคิดว่าการเปิดพื้นที่ทางวิทยุ ทีวีให้เด็กมากขึ้น ก็ดีครับ แต่ต้องมาคิดเนื้อหากันต่อไปว่าจะหยิบเรื่องนี้มาพูดกันยังไงดร.อมรวิชช์กล่าวทิ้งท้าย |